รับทําเว็บไซต์ รับทําseo
บทความที่น่าสนใจ

บทความ ที่น่าสนใจ

การเปิดบัญชีการซื้อขาย หุ้น หรือตราสารทุน?

    เมื่อนักลงทุนตัดสินใจที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ นักลงทุนควรติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับ อนุญาตให้ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อดำเนินการเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งโบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเปิดบัญชีให้กับลูกค้าแตกต่างกันไปในรายละเอียดบ้าง แต่ในหลักการใหญ่ๆ แล้วจะมีมาตรฐานเดียวกัน คือจะพิจารณาฐานะการเงินและความน่าเชื่อถือของผู้ขอสมัครเป็นลูกค้า โดยจะดูจากหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงทรัพย์สิน กระแสรายได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกค้า ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการอนุมัติวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์

    นอกจากนั้นแล้ว โบรกเกอร์จะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เพื่อให้รู้จักลูกค้าอย่างเพียงพอ
    ในเรื่องต่างๆ ได้แก่ เป้าหมายการลงทุน ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ และระดับการยอมรับความเสี่ยง รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ภาระหนี้สิน ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าทั้งหมดจะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับโบรกเกอร์ในการให้คำ แนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสม

    การเปิดบัญชีการซื้อขายหลักทรัพย์ในส่วนแรกเป็นการเปิดบัญชีการซื้อขายตราสารทุน ซึ่งจะครอบคลุมสามารถซื้อขาย หุ้นสามัญ, วอร์แรนท์, กองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และกองทุน ETF

    ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด
    นักลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทางโทรศัพท์หรือเดินทางมาส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองที่ห้องค้าของโบรกเกอร์ก็ได้เช่นกัน

    ส่งคำสั่งซื้อขายออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต
    การสั่งซื้อผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ลูกค้าสามารถทำการสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยตนเองจากเว็บไซด์ของโบรกเกอร์ โดยสามารถส่งคำสั่งซื้อขายผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง PDA หรือ โทรศัพท์มือถือ  

    ประเภทบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
    เมื่อนักลงทุนตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดหรือส่งคำสั่งซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต ขั้นตอนต่อมาคือการเลือกว่าจะเปิดบัญชีประเภทใด ซึ่งบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

    บัญชีเงินสด (Cash Account) เป็นบัญชีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อหลักทรัพย์โดยชำระค่าหลักทรัพย์เต็มจำนวนด้วยเงินสด โดยโบรกเกอร์จะพิจารณาอนุมัติวงเงินที่เหมาะสมกับฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ทั้งนี้ การซื้อหลักทรัพย์จะต้องชำระค่าซื้อภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ซื้อหลักทรัพย์ ส่วนในกรณีที่ขายหลักทรัพย์นักลงทุนจะได้รับชำระค่าขายหลักทรัพย์จาก โบรกเกอร์การขายหลักทรัพย์ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ขายหลักทรัพย์

    บัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ประเภทเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance) หรือบัญชีมาร์จิ้น (Margin Account)
    เครดิตบาลานซ์เป็นการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่พิจารณาสถานะของลูกค้าในลักษณะเป็นแบบพอร์ตโฟลิโอ โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนของแต่ละหลักทรัพย์ โดยกำหนดให้ลูกค้านำเงินสดหรือหลักทรัพย์อื่นๆ ที่โบรกเกอร์กำหนด มาวางเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมีมูลค่าอย่างน้อยเท่ากับ อัตราหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) เช่น ลูกค้าวางเงินสดจำนวน 5 แสนบาท สมมติว่าปัจจุบันอัตราหลักประกันขั้นต้นเท่ากับ 50% ดังนั้น ลูกค้าจะมีวงเงินซื้อหรือขายชอร์ต (อำนาจซื้อหรือขายชอร์ต) เท่ากับ 1 ล้านบาท และโบรกเกอร์จะทำการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยราคาปิด (Mark to Market) ทุกสิ้นวันทำการ จะมีผลทำให้อำนาจซื้อหรือขายชอร์ตของลูกค้าผันแปรตามมูลค่าตลาดของหลัก ทรัพย์ที่วางไว้เป็นหลักประกันด้วย


    การลงทุนด้วยบัญชีมาร์จิ้นนี้ นักลงทุนควรศึกษากฎเกณฑ์ของแต่ละโบรกเกอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งในเรื่องของประเภทและมูลค่าของหลักประกัน และอัตรามาร์จิ้น อนึ่ง นักลงทุนสามารถเลือกเปิดได้เพียงประเภทเดียวเท่านั้น นอกจากนี้นักลงทุนไม่สามารถเปิดบัญชีโดยใช้ชื่อร่วมกับบุคคลอื่นได้

    เอกสารที่ต้องใช้เพื่อเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
    สำหรับนักลงทุนที่ตัดสินใจที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ควรติดต่อ โบรกเกอร์เพื่อให้จัดส่งเอกสารเปิดบัญชีมาให้ โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลในแบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชี สัญญาแต่งตั้งตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ และบัตรตัวอย่างลายมือชื่อ สำหรับเอกสารหลักฐานที่ใช้ในการเปิดบัญชีมีดังต่อไปนี้

    กรณีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย

     สำเนาบัตรประชาชน / บัตรข้าราชการ

     สำเนาทะเบียนบ้าน

     สำเนาบัญชีธนาคารประเภทใดก็ได้ย้อนหลัง 6 เดือน
     เพื่อประกอบการพิจารณาวงเงิน

     ค่าอากรแสตมป์จำนวน 30 บาท

     อาจมีเอกสารอื่นๆ ตามเกณฑ์ของแต่ละโบรกเกอร์

    กรณีบุคคลธรรมดาสัญชาติอื่นๆ

     สำเนาหนังสือเดินทาง

     สำเนา Work Permit / Visa

     สำเนาบัญชีธนาคารประเภทใดก็ได้ย้อนหลัง 3 เดือน
     เพื่อประกอบการพิจารณาวงเงิน

     ค่าอากรแสตมป์ จำนวน 30 บาท

     อาจมีเอกสารอื่นๆ ตามเกณฑ์ของแต่ละโบรกเกอร์

    ขั้นตอนต่อมาหลังจากที่นักลงทุนกรอกเอกสารและเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องครบ ถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนประเภท ข (ผู้ขาย) ซึ่งเป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุนจะสอบถามรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ

    - ฐานะทางการเงิน วงเงินลงทุนที่นักลงทุนต้องการในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    - วัตถุประสงค์ในการลงทุน เป้าหมายในการลงทุน เพื่อใช้ในการประเมินว่าเป็นนักลงทุนประเภทใด ชอบลงทุนระยะสั้นหรือ
    ระยะยาว คาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบใด พร้อมรับความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เป็นต้น

    - ประเมินความรู้และทัศนคติในการลงทุนว่าอย่างไร 

    หลังจากที่นักลงทุนได้รับการอนุมัติให้เปิดบัญชีแล้วจะได้รับแจ้งหมายเลข สมาชิกหรือรหัสประจำตัวลูกค้า ซึ่งจะใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขาย รวมทั้งการชำระเงิน หรือในการติดต่อใดๆ กับโบรกเกอร์ รหัสนี้นักลงทุนควรเก็บไว้เป็นความลับ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจมีผู้แอบอ้างทำให้เกิดความเสียหายได้ เพียงเท่านี้นักลงทุนก็สามารถลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แล้ว แต่ก่อนที่นักลงทุนจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไหน ขอแนะนำให้ทำความรู้จักกับบริการและบทบาทของโบรกเกอร์ เพื่อพิจารณาว่านักลงทุนควรจะเลือกซื้อขายกับโบรกเกอร์ใด

บทความที่น่าสนใจ

บทความ ล่าสุด

บทความ ความรู้ด้านไอที, คอมพิวเตอร์ Techonlogy, Gadget, ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กับทาง SoftMelt.com