ช่วงหลัง ๆ นี้บ่อยครั้งที่มีคนถามว่าระหว่าง sub domain หรือ sub directory ควรใช้อะไรในการทำ SEO? ซึ่งผมเองก็เคยมีคำถามนี้กับตัวเองเช่นกัน ก็เลยทำการเก็บข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องสำหรับทำ SEO จริง ๆ … ซึ่งก่อนจะค้นหาผมคาดว่า sub domain น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่ แต่พอค้นหาเสร็จดูเหมือนว่าคำตอบจะไม่ใช่ซะแล้ว อ้าว! ทำไมเป็นยังงั้น? นั่นน่ะสิ ทำไมล่ะ งั้นก็เรามาดูกันเลยดีกว่า
Sub Domain หรือ Subdomain เป็นการสร้างชื่อโดเมนย่อยให้อยู่ภายใต้โดเมนหลัก เช่น test.board.com คำว่า "test" คือ Sub Domain ที่ถูกสร้างขึ้น มีการทำงานเหมือนโดเมนหลักทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่ระบบ NS (Name Server) หรือว่าการเรียกหาระบบ DNS (Domain Name System) นั้นจะแยกออกจากโดเมนหลัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับโดเมนหลัก นอกจากจะมีการใช้งานระบบที่มีขนาดใหญ่ และแยก Sub Domain แต่ละตัวให้อยู่คนละ Server ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ประโยชน์ของ Sub Domain
อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า Sub Domain สามารถที่จะตั้งค่า Name Server ให้สามารถชี้ไปยัง Name Server ตัวอื่นนอกจากโดเมนหลักได้ เพราะฉะนั้นผู้ดูแลเว็บไซต์จึงนำเอาความสามารถนี้มาแบ่งการทำงานของ Server ได้ เช่น a.domain.com ให้วิ่งเข้าไปหา Server ตัวที่ 1 และ b.domain.com ให้วิ่งเข้าไปหา Server ตัวที่ 2 และ domain.com ให้วิ่งเข้าไปหา Server หลัก ถ้าทำแบบนี้แล้วจะช่วยลดภาระการทำงานของ Server และสามารถรองรับจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ได้จำนวนมาก ๆ นั่นเอง
Sub Directory หรือ Subdirectory เป็นส่วนย่อยของ Domain หรืออาจจะเป็นส่วนย่อยของ Sub Domain ก็ได้เช่นกัน เป็นลักษณะของโฟเดอร์ที่อยู่บนระบบ ตัวอย่างเช่น
domain.com/images
a.domain.com/images
เพราะว่า “จำนวนเพจ หรือ จำนวนหน้าเว็บ” ที่มากขึ้น การมีจำนวนเพจที่มากขึ้นนี้ เป็น Factor หนึ่งในการทำให้อันดับดีขึ้น ลองมาคิดกันดูนะครับ กรณี sub domain ถ้าเรามาจำนวนหน้าของ www.abc.com ทั้งหมด 100 หน้า และ mp3.abc.com 50 หน้า นั่นหมายความว่า google จะมอง 2 อันนี้เป็นสองเว็บ ดังนี้
1.www.abc.com = 100 หน้า
2.mp3.abc.com = 50 หน้า
แต่ในกรณีของ sub directory จะถูกมองเป็นเว็บเดียวกัน ดังนี้
www.abc.com + www.abc.com/mp3/ = 150 หน้า
อย่างที่บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าจำนวนหน้ายิ่งเยอะยิ่งดี เพราะฉะนั้นแล้ว ในกรณีทั่ว ๆ ไป การใช้ sub directory จะมีผลในด้าน SEO มากกว่า sub domain ครับ … แต่ผู้อ่านบางคนอาจจะสงสัยขึ้นมา หลังจากผมใช้คำว่า “กรณีทั่ว ๆ ไป” … งั้นแบบไหน คือกรณีไม่ทั่วไปล่ะ? กรณีที่ไม่ทั่วไปก็คือคุณต้องการใช้ประโยชน์จาก sub domain ในการแสดงผลลัพธ์แบบกระจาย หรือก็คือต้องการหลาย ๆ ผลลัพธ์จากการเสิร์ท เพื่อเป็นทางเลือกให้กับ user
หลายคนอาจจะยังงงอยู่ เพราะงั้นอธิบายเรื่องนี้แบบละเอียดหน่อยน่าจะดีกว่า … ก็คือว่า เว็บ 1 เว็บ จะมีผลลัพธ์ที่ได้จากการ search แค่ 2 อัน ต่อ 1 keyword โดย google จะเลือกเอาหน้าที่ดีที่สุดต่อ keyword นั้น ๆ มาแสดง แต่ google ก็พยายามให้เว็บอื่น ๆ มีโอกาสได้แสดงผลลัพธ์ด้วย จึงจำกัดไว้แค่เว็บละ 2 เท่านั้น (นอกจากว่ามันจะไม่มีคู่แข่งจริง ๆ หรือ ไม่ก็เราเป็น niche ใน keyword นั้นจริง ๆ)
ทีนี้ในเมื่อการใช้ sub domain ถูกมองเป็นคนละเว็บกับเว็บหลัก ข้อจำกัดนี้ก็จะเพิ่มขึ้น ก็คือถ้าเรามี 2 เว็บ ผลลัพธ์ที่แสดง ก็มีโอกาสกลายเป็น 4 ถ้ามี 3 เว็บก็อาจจะกลายเป็น 6 ผลลัพธ์ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการทำอันดับให้แต่ละเว็บด้วย และบางทีเราอาจจะยังไม่ต้องพูดถึงกรณีเว็บละ 2 ผลลัพธ์ ผมว่าแค่เว็บละ 1 ผลลัพธ์วางอยู่ติด ๆ กัน ในหน้าแรก ก็เจ๋งแล้ว)
เรามาดูตัวอย่างกัน:
keyword = sanook มี 4 อันดับติดกัน จากเว็บ sanook.com แต่ต่างกันตรงที่ sub domain เป็น www, horoscope, news, กับ radio. ซึ่งตัวอย่างของ sanook นี้เป็นที่ชัดเจนว่า เอาไว้ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับ user เพราะว่าคำว่า sanook คำเดียว อาจมีความหมายไม่ชัดเจนกับความต้องการของ user ซึ่งพอมีทางเลือกให้เลือก แล้ว user อาจจะเลือกที่ radio เพราะกำลังอยากฟังเพลงออนไลน์ผ่านเว็บ sanook อยู่
